วันพุธที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2551

ประวัติส่วนตัว
ชื่อ นางสาวฐาปนี เพ็ญสุข ชื่อเล่น โย

ที่อยู่ปัจจุบัน : 296หมู่ 10 ตำบล น้ำรึม อำเภอเมือง จังหวัดตาก 63000

เบอร์โทรศัพท์ :08-6213-3909E-mail : mailto:u49152792145@Gmail.com

ข้อมูลส่วนตัว - เกิดวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2531

ส่วนสูง 159 ซม. น้ำหนัก 58 กก.

เชื้อชาติไทย สัญชาติไทย ศาสนา พุทธ

สถานภาพโสด สุขภาพแข็งแรง

การศึกษา - ปริญญาตรี คณะวิทยาการจัดการ หลักสูตรการบริหารธุรกิจ แขนงคอมพิวเตอร์ธุรกิจ

คติประจำใจ เรียนเพื่อรู้ ดูเพื่อจำ ทำเพื่ออณาคต

วันศุกร์ที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2551

ขอโทษ VS ให้อภัย ... 2 คำสั้นๆ ที่มีความหมายยิ่งใหญ่นัก

คนเราเมื่ออยู่ร่วมกันไม่ว่าจะในสังคมใดหรือที่ไหน ย่อมต้องมีการกระทบกระทั่งกันบ้าง และผลของการกระทบกันนี้ย่อมทำให้คู่กรณีเกิดความไม่พอใจ โกรธเคือง และอาจกลายเป็นศัตรูกันในที่สุด หากเป็นเช่นนี้แล้วทั้งสองฝ่ายย่อมเกิดการอาฆาต พยาบาทกันแน่นอน แต่หากทั้งสองฝ่ายรู้จัก "ขอโทษ" และ "ให้อภัย" ความโกรธ เกียจ เหล่านี้ย่อมหมดไป "ขอโทษ" และ "ให้อภัย" เป็นเรื่องที่ทำยาก เพราะมันต้องมาจากการให้อภัย โดยไม่มีเงื่อนไขหรือข้อแม้ใดๆ บางคนอาจบอกว่า หาก "ขอโทษ" และ "ให้อภัย" จะเป็นการเสียศักดิ์ศรีหรือการเป็นผู้แพ้ แต่จริงๆ แล้วมันไม่ใช่...ถ้าคุณรู้จักให้อภัยและขอโทษคุณจะเป็นผู้ชนะต่างหาก ชนะใจตนเอง และเป็นผู้กล้าหาญ ที่คุณยอมรับความผิดนั้นได้ แล้วก็ยอมขอโทษ ในสิ่งที่ได้กระทำลงไป ...อย่างไรก็ตามเมื่อพูดถึงคำ 2 คำนี้แล้ว ก็ทำให้นึกถึงการ์ตูนของคุณกะว่าก๋า เรื่องหมื่นตากับการให้อภัย แล้วอยากนำเสนอให้เพื่อนๆ ได้อ่านกัน และรู้จักกล่าวคำ "ขอโทษ" ทุกครั้งที่ทำผิด และ "ให้อภัย" ทุกครั้งเมื่อได้ฟังคำขอโทษ หากทุกคนรู้จักคำ 2 คำนี้แล้ว เชื่อว่าสังคมไทยคงจะสงบสุข ร่มเย็นแน่นอนค่ะ

เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม ขอขอบคุณผู้วาดภาพและบรรยายเนื้อหา โดย คุณกะว่าก๋า

วันพฤหัสบดีที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2551

ความรู้สึกที่มีต่อการเรียนวิชาเตรียมฝึกประสบการณ์วิชาชีพบริหารธุรกิจ

ดิฉันคิดว่าวิชาเตรียมฝึกฯ เป็นวิชาที่มีความหลากหลายในการสอน คือ ในแต่ละอาทิตย์ที่มีการสอนจะมีวิทยากรของแต่ละแขนงมาบรรยายมาให้ความรู้ของแต่ละแขนงนั้น จึงทำให้เวลาที่เรียนนั้นไม่เคลียด และยังมีการจัดกิจกรรมในการเรียนทำให้มีเพื่อนต่างแขนงมากขึ้น และในการเรียนวิชาเตรียมฝึกนี้ทำให้ดิฉันตรงต่อเวลามากขึ้น และแต่งกายถูกระเบียบมากขึ้น
สุดท้ายนี้ ดิฉันดีใจที่ได้เรียนวิชานี้และคุ้มค่าที่ได้เรียนวิชานี้มากเพราะวิชานี้ให้ความรู้มากกว่าที่คิดไว้

วันพุธที่ 3 กันยายน พ.ศ. 2551

การแผ่เมตตากับการอุทิศส่วนกุศลแตกต่างกันอย่างไร

ถาม – การแผ่เมตตากับการอุทิศส่วนกุศลแตกต่างกันอย่างไรคะ?
การแผ่เมตตานั้น เหมือนนั่งๆคุยกันอยู่กับใครแล้วเราอยากพูดดีให้เขาสบายใจ ก็จะมีลักษณะของจิตแบบแผ่เมตตาอ่อนๆออกมาแล้ว หากใครบอกว่าฝึกแผ่เมตตาแล้วไม่สำเร็จ เป็นของยาก ก็ขอให้ลองตั้งใจพูดดี พูดให้คนอื่นรื่นหู พูดให้คนอื่นเป็นสุข มีความสามัคคีกลมเกลียวกันมากๆ เป็นอาทิตย์ เป็นเดือน เป็นปี ตั้งใจไว้เลยว่าคำที่ออกจากปากเราจะมีแต่กลิ่นหอมหวน นุ่มนวลเสนาะโสต ไม่เหม็นเน่า ไม่แหลมระคายแก้วหูใคร ถึงวันหนึ่งหากสัมผัสรู้สึกได้ว่ามีกระแสความปรารถนาดีจริงใจแผ่นำออกไปก่อนพูด ก็ให้ทราบเถิดว่าอันนั้นแหละ คุณเป็นนักแผ่เมตตาผ่านคำพูดแล้ว ส่วนการอุทิศส่วนกุศลนั้นไม่ใช่แค่มีการตั้งจิตคิดดีกับใครเฉยๆ ก่อนอื่นต้องทำบุญ หรือระลึกถึงบุญ ซึ่งทำให้เรารู้สึกถึงรัศมีกองบุญนั้น ทำให้แช่มชื่น ทำให้มีความยินดีปรีดา อย่างน้อยก็อยากทำให้ยิ้มในหน้าขึ้นมาเองอย่างเป็นธรรมชาติ ที่ความรู้สึกตรงนั้น คุณจะสัมผัสกองบุญอันเป็นนามธรรมได้ด้วยใจอย่างแจ่มชัด แทบจะเรียกว่าเหมือนถือสมบัติเป็นตัวเป็นตนไว้ด้วยมือทีเดียว แตกต่างจากเวลาคิดนึกเอาลอยๆเป็นคนละเรื่อง และเมื่อรู้สึกชัดราวกับกองบุญเป็นสมบัติที่ถือด้วยมือ ใจคุณย่อมเห็นกองบุญเป็นสิ่งที่ยกมอบผู้อื่นร่วมถือครองสมบัติด้วยกันได้เช่นกัน เรื่องสัมผัสอันเป็นนามธรรมนั้นสนุกครับ ทำบุญไว้มากๆเถอะ จะเข้าใจที่ผมพูดตรงนี้เอง เมื่อกล่าวถึงลักษณะจิตคิดอุทิศส่วนกุศล ก็ต้องกล่าวถึงลักษณะจิตคิดรับส่วนกุศลด้วย การรับส่วนกุศลทำได้โดยยินดี ปลื้มใจ และคิดส่งเสริมสนับสนุนในบุญผู้อื่น อย่างที่เรียกว่า ‘อนุโมทนาบุญ’ นั่นเอง หากปราศจากจิตคิดยินดีในบุญ จู่ๆบุญหนึ่งๆจะเข้าไปเป็นสมบัติของใครไม่ได้ เหมือนประตูที่ไม่อ้ารับของ หรือเหมือนมือที่ไม่ยอมแบรับเงิน ข้าวของเงินทองย่อมกองอยู่ตรงนั้นเฉยๆ โดยไม่อาจมีผู้ใดนำไปใช้ได้ อย่างมากที่สุดอาจเหมือนเขาสาดน้ำมาให้เย็นผิวกาย เดี๋ยวเดียวก็ร้อนใหม่ โดยหาแหล่งน้ำเองไม่เป็น การฝึกเฉลี่ยบุญให้ผู้อื่นอนุโมทนานั้น คุณจะได้เห็นผลทันตาเป็นความเบิกบานใจของผู้รับนั้น อย่าเอาแต่นึกๆคิดๆอยู่ฝ่ายเดียว พลังจิตหรือพลังอธิษฐานของคนทั่วไปไม่อาจกระตุ้นให้ญาติมิตรรู้สึกดีขึ้นเหมือนสาดน้ำมนต์ คุณควรชักชวนพูดคุยเหมือนเจ๊าะแจ๊ะให้เขารื่นเริงใจเป็นปกติ แล้วอาศัยความรื่นเริงใจของเขาเป็นสื่อ ค่อยๆหยอด ค่อยๆพูดถึงบุญที่คุณทำมา พร้อมพรรณนาให้เขาซึมซับรับรู้ตาม ว่าคุณรู้สึกแสนดีปานไหนกับบุญที่ได้ทำ อาจบรรยายบรรยากาศให้เขาเห็นภาพตาม หรืออาจให้เขาสัมผัสถึงความปรีดาปราโมทย์ในใจของคุณขณะปัจจุบันนั้นเลยได้ยิ่งดี พอฝึกพูดให้คนอื่นนึกยินดีตามบุญของคุณได้บ่อยๆ คุณจะรู้สึกว่าตัวเองมีพลังเพิ่มขึ้นชนิดหนึ่ง คือสามารถกระตุ้นให้คนรอบข้างรู้สึกดีไปกับงานบุญงานกุศลของคุณได้อย่างรวดเร็ว แม้เพียงเห็นคุณกำลังทำบุญ ก็เหมือนมีข่ายใยกุศลแผ่ออกไปโดยรอบ และเหนี่ยวนำให้จิตใครต่อใครพลอยปลาบปลื้มยินดีไปพร้อมกัน ถาม – เคยอ่านพบมา เห็นบอกว่าการอุทิศส่วนกุศลโดยตั้งจิตคิดยกให้คนอื่นหมด จะทำให้บุญหมด หรือเหลือบุญเพียงครึ่งเดียว อันนี้เป็นความจริงหรือไม่คะ? ไม่จริงหรอกครับ เหมือนคุณให้เขาเอาเทียนมาต่อเปลวไฟ ไฟของคุณไม่ดับลงหรอก กลับจะทำให้ห้องสว่างขึ้นเพราะเกิดการขยายผลบุญด้วยซ้ำ คุณได้บุญเพิ่มนะครับถ้าทำได้จริง ไม่ใช่ว่าบุญลด คนเผยแพร่ความคิดผิดๆแบบนี้จัดเป็นมิจฉาทิฏฐิ ผลกรรมจะทำให้เขาจิตใจคับแคบ มีศักดิ์ศรีน้อย ทุ่มทำบุญแค่ไหนก็ได้ผลจำกัด เพราะฉะนั้นอย่าไปหลงเชื่อหรือยินดีตาม เนื่องจากอาจทำให้คุณได้ส่วนเคราะห์แบบเดียวกับเขาไปด้วยไม่มากก็น้อย

http://dungtrin.com/prepare/archieve/prepare025.htm